เข้าใจผิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : ข้อ ๒๓๒๗. เรื่อง “ออกนึกพุท เข้านึกโธ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมขอรายงานผลการปฏิบัติจากผลการรายงานต่างๆ แล้วหลวงพ่อเมตตาชี้แนะ
ปัจจุบันกระผมตั้งองค์บริกรรมที่พุทโธจะคู่กับการดูลม หรือหวดหนักๆ รัวๆ เป็นปืนกลเวลามันจะแฉลบคิดเพื่อรั้งมัน พอเริ่มเบาก็จะจับลมพร้อมคำบริกรรมหายใจกับนึกพุทโธ หรือตามรู้ลม จนวันหนึ่งได้หลักเกณฑ์บ้าง คือตัวสติที่เคยเขียนมาถึงการเหยียบเบรกอารมณ์หรือคันเร่งเวลาใจมันปลง
จากคำถามหลังสุดที่เคยถามหลวงพ่อว่า ผมฟังเทศน์แล้วหาย แล้วมารับรู้อีกตอนเทปจบ ตอนนี้ไม่ต้องให้ใครบอกแล้วครับ เพราะผมรู้สึกเองว่ามันจืด มันคุ้นชิน หายใจอย่างเดียวนี่แหละ แต่เห็นกันชัดๆ ว่า การเข้า การออก การรับรู้ แทบไม่ต่างกันกับการโยนของเรียงเลย มันบังคับลมจนเหมือนโยนบล็อกลงในระบบระเบียบดีจัง แต่ทำไมเราส่อส่ายจัง
มาคิดแล้ว เวลาหลวงตาให้พรท่านจะท่องช้าๆ เลยเอาจุดนี้มาตั้ง แล้วหาอุบายว่า การนั่งนี้จะขอเห็นสิ่งที่จริง อาการอะไรจะไปหาผมไม่เอา แต่ตั้งกติกาว่าเข้านึกพุท ออกนึกโธ
ผมคุ้นเคยไปจนหลับ เลยเอาใหม่ว่า หายใจออกให้นึกพุท เข้านึกโธแทน แล้วเห็นว่าไม่พ้นจากพุทโธแล้วจริงครับ อาการที่เกิดขึ้นกับใจ ขอเทียบเลยว่าเหมือนตนกลับไปเริ่มหัดเดินใหม่ สัญญาเก่าๆ เทียบไม่ได้ เพราะจะมีสติตามเช็กว่าผิดไหม
แรกๆ ออกพุทเข้าโธสองสามทีก็ผิดระยะหนึ่ง เริ่มเรียบ การเกิดเวทนาเหมือนก่อนๆ จางกันชัดๆ เลย ที่สำคัญคือที่เทียบได้ว่าผมหลับจากคำถามก่อน เพราะเหมือนเคยคือเปิดเทปฟัง แต่พอจิตเบา เวทนาไม่กวนนัก ความเกรงกลัวนั้น ผิดนี้ ไม่ถูก จะไม่เคลื่อนไหว มันก็กลืนน้ำลาย แต่ใจเบา แล้วก็เห็นเลยว่าตัวเองง่วงชัดๆ เลย จังๆ เลย แต่ไม่หลับ
พอได้ระยะสักพักจะเข้านอน อันนี้ไม่สัญญาแน่ คือผมนอนก็ทิ้งหมด เทปปิด ดูลมด้วยการออกพุท เข้าโธ ทีนี้เด่นแทบเหมือนกับเอามือเลี้ยงไผ่ให้ตั้งตรงอย่างไรอย่างนั้น ผมได้ยินตัวเองกรนชัดๆ เลย แต่การภาวนานี้ล้านเปอร์เซ็นต์ ผมกรน แต่ลมชัดสบาย เวทนาหมดเลย ตรงนั้นว่าแตกต่างเลย
ขอถามครับ การหาอุบายแบบนี้ ทั้งที่พระท่านสอนให้หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ กับผมทำสลับกัน เพราะทราบแล้วว่าใจมันเล่นแง่หลอกเรา พอหาอะไรใหม่ อันนี้ช้าสุดๆ แม้แต่จะผล็อยหลับก็ยังรู้เวทนาเบา ร่างกายไม่เครียด แต่พอเลิก จะนอน ตอนนี้ชัดตรงผมรู้ว่าตรงอยู่กับองค์ภาวนา จะว่าหลับก็หลับ หลับจะขอตื่น ๖ โมง แล้วก็เจอว่าตนเองนอนกรน แต่จิตตื่น ใจเบา ไม่ส่อส่าย
สรุปผลการให้อุบายแบบนี้ผิดไหมครับ ส่วนตัวคิดว่ามันก็ยังอยู่กับแค่พุทโธกับลม แต่ที่ทำมันก็คืออุบายหายมันจะเสียหาย หลวงพ่ออธิบาย
ตอบ : อธิบาย มันอธิบายมาพอแรง คำว่า “พอแรงๆ” เวลาคนปฏิบัติไปแล้ว เวลาจิตมันเสื่อม เวลามันดื้อมันด้าน เวลาจิตมันดื้อมันด้านก็ไปอีกเรื่องหนึ่งนะ เวลาคนเราเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ มันมีศรัทธามีความเชื่อ พอมีศรัทธามีความเชื่อ มีความมั่นคง ทำสิ่งใดก็มีความสุข ทำสิ่งใดก็มีความพอใจ พอทำต่อไป ทำไปๆ แล้วมันดื้อมันด้าน เวลามันดื้อมันด้านขึ้นมา ทำสิ่งใดก็มีความผิดพลาดทั้งนั้น แต่เวลาความผิดพลาดทั้งนั้นแล้ว เวลาทำสิ่งใดไปก็ตัวเองเข้าข้างตัวเองไง ก็ว่าต้องทำสิ่งนั้นๆ
อันนี้มันเป็นวุฒิภาวะของคนนะ ถ้าวุฒิภาวะของคน เวลาวุฒิภาวะของคนที่อ่อนแอ เวลาอ่อนแอมันไม่มีเหตุมีผลอะไรทั้งสิ้น ทำสิ่งใดก็ว่าจะเป็นธรรมๆ แล้วเวลามีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นั่นก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้น อารมณ์ความรู้สึกบวกกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
เวลาโดยทั่วๆ ไป เวลาธรรมมันผุดๆ นั่นก็เรื่องหนึ่งนะ เวลาธรรมมันผุด คนที่ทำสมาธิแล้ว พอจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ ธรรมมันจะผุดขึ้น ธรรมผุดขึ้นมันมีความมหัศจรรย์ มันมีความมหัศจรรย์ในใจดวงนั้น มันมีความมหัศจรรย์มันก็ติดในความรู้สึกอันนั้น เวลาหลวงตาท่านพูด กิเลสเกิดๆ มันกิเลสเกิดอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมา เวลามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา ก็หันหัวเข้าหาพระพุทธศาสนา เวลาหันหัวเข้าพระพุทธศาสนา เขาก็บอกว่าให้ปฏิบัติบูชาๆ
ในการปฏิบัติบูชานะ แต่เดิมตั้งแต่สมัยก่อนที่หลวงปู่มั่น สังคมไม่มีความเชื่อถือในการประพฤติปฏิบัติ ไม่มีความเชื่อถือในการประพฤติปฏิบัติเพราะอะไร เพราะคนมันเหลวแหลก เพราะสังคมมันอ่อนแอ พอสังคมอ่อนแอ สรรพสิ่งในโลกนี้ สรรพสิ่งในพระพุทธศาสนาก็เป็นหน้าที่ของพระ เวลาทำสิ่งใด พระก็เป็นแค่ตรายาง เวลาตรายาง สวดมนต์บ้าน ทำบุญบ้าน เวลามีอะไรก็เอาพระไปเป็นพิธีกรรม
เวลาพิธีกรรมนะ เวลาจะประพฤติปฏิบัติก็ไม่ได้ ปฏิบัติไปแล้วเดี๋ยวมันจะบ้า เวลาไปดูนะ ดูหนังดูละคร ดูหนังดูละครก็เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องตุ๊กตาผี เรื่องคุณไสย มันไปเอาสิ่งนั้นน่ะ เพราะจิตใจอารมณ์ของคนมันไปรับรู้ ไปรู้เรื่องของสังคม ไปรู้เรื่องของอภิญญา เรื่องของข้างนอก สิ่งนั้นมันก็ฝังใจอยู่ พอฝังใจอยู่ จะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มันก็ผุดขึ้นมา เวลาผุดขึ้นมามันก็มีอุปสรรคไปตลอดไง
เวลาปฏิบัติๆ พระพุทธศาสนาสอนให้ปฏิบัติๆ เวลาปฏิบัติ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน สังคมไม่มีความเชื่อถือ เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านไปไหนมีแต่คนเสียดสี คนดูถูกดูแคลน เวลาไปไหนมีปะขาวไปด้วย มีเด็กไปด้วย “ครอบครัวไหนจะย้ายครอบครัวไปไหนน่ะ” เขาทั้งดูถูกดูแคลน ทั้งเสียดสี เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เขาไม่เชื่อถือ
แล้วไม่เชื่อถือแล้วมันเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องการถือผี เรื่องของสังคม ตอนนี้นะ เมื่อก่อนเรื่องเครื่องสำอางเอามาหลอกขายกัน พอหลอกขายกัน ในเว็บไซต์เขาจับแล้ว ตอนนี้เลยกลายเป็นเครื่องรางของขลัง “ถ้ามีแล้วจะรวย ถ้ามีแล้วจะคุ้มครอง ถ้ามีแล้วจะไม่บ้า ถ้ามีแล้ว”...อะไรกัน สังคมอ่อนแอได้ขนาดนั้น
ดูสิ ตอนนี้ไปดูในเว็บไซต์ ขายแต่เครื่องรางของขลัง ไปเอาหินเอากรวดมาเรียงกันเป็นสร้อย แล้วก็ โอ้โฮ! มันมีแร่ธาตุ ใส่แล้วร่างกายจะแข็งแรง ใส่แล้วมันจะเหาะเหินเดินฟ้า...สังคมทั้งนั้นน่ะ แล้วเอาเรื่องนี้เป็นพื้นฐาน พอเรื่องพื้นฐานแล้วจะมาประพฤติปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัตินะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันก็สร้างภาพ มันก็จินตนาการ มันก็ร้อยแปดพันเก้า แล้วปฏิบัติ อู้ฮู! ปฏิบัติที่นู่นก็ได้บรรลุธรรม อู้ฮู! ที่นี่ก็บรรลุธรรม อู้ฮู! ที่นู่นรื่นเริง อู้ฮู! ที่นั่นมีชื่อเสียงกิตติศัพท์เกียรติคุณ...ถ้ามันมีความจริงๆ ครูบาอาจารย์ของเราไม่มี
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยโฆษณาตัวท่านเอง ให้ชาวพุทธเรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แก้วสารพัดนึก ให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริง พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เรียบง่าย เป็นศาสนาที่ไม่กวนบ้านกวนเมือง เป็นศาสนาที่ค้ำจุนสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีการแห่แหนเป็นกระต่ายตื่นตูม ไม่มี
เวลาพระพุทธศาสนา เวลารัฐบาลมีวันสำคัญขึ้นมา ให้ทำบุญที่วัดใกล้บ้านๆ ใครมีจิตใจที่เป็นบุญกุศล ใครมีจิตใจที่เป็นคุณงามความดี เขาจะตักบาตรทำบุญกุศล
เวลาจะทำบุญกุศลของเขา ถ้าพระที่บ้านเรายังไว้ใจไม่ได้ พระที่บ้านก็ลูกหลานบ้านเราเอาไปบวชฝากวัดไว้ ไอ้พวกลูกหลานเรา ปัญญามันจะสู้เราได้อย่างไร เพราะเราเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ เรามีปัญญามามาก เราจะทำบุญกุศลมันก็ไม่ลงใจ พอไม่ลงใจ เห็นไหม
ถ้าคนที่มีสติมีปัญญา ให้ทำบุญที่วัดใกล้บ้าน แล้วเวลาจะทำบุญให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นชาวพุทธ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ มันถึงเกิดพระอัญญาโกณฑัญญะ มันถึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก
ถ้าจิตใจของเรา เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะตักบาตรที่ไหนก็ได้ เพราะอันนี้เป็นตัวแทนเฉยๆ คำว่า “สัญลักษณ์” ไง แต่จิตใจของเรา เราถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะตักบาตรที่ไหนก็ได้ เราจะตักบาตรแล้วเราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ให้มีเวรมีกรรมกับพวกเปรตพวกผี นี่พูดถึงสังคมไง สังคมถ้ามันจัดระเบียบ สังคมถ้ามันเป็นสังคมที่มีปัญญา
เวลาจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ คนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเกิดมาแล้วความรู้มันไม่เท่ากันหรอก บัว ๔ เหล่า ไอ้เหง้าบัวอยู่ในโคลนในตมมันไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดด้วย มันเน่าอยู่นั่นน่ะ มันเน่าอยู่ในโคลนในตมนั่นน่ะ เวลามันเกิดเป็นหน่อขึ้นมา เต่าปลามันก็กินหมด เวลาบัวมันขึ้นมาปริ่มน้ำ นั่นน่ะบัว ๔ เหล่า แล้วเวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอใครนั่งสมาธิแล้ว โอ๋ย! จะเป็นสมาธิ ไปปฏิบัติบรรลุธรรม
เราเห็นสำนักปฏิบัติมากมาย เห็นครูบาอาจารย์มหาศาล แต่ในการปฏิบัตินั้นเราก็ชื่นชม เราชื่นชมว่าพระพุทธศาสนามีคุณค่า ถ้าพระพุทธศาสนามีคุณค่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย มันควรจะเป็นประโยชน์ สังคมไทย คนไทยควรจะมีสติมีปัญญา มันต้องเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่เข้มแข็งไม่เป็นเหยื่อ ไม่ให้ใครหลอก
เราทำหน้าที่การงานของเรา มันจะทุกข์จนเข็ญใจ มันต้องปากกัดตีนถีบอย่างไร มันก็เป็นอำนาจวาสนา ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่เขามายุมาแหย่ มาทำให้บ้านเมืองแตกแยกไง มันเป็นชนชั้น มันเป็นการเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นการฉ้อโกง ต้องต่อต้าน ต้องทำลาย แล้วกรรมของคนล่ะ คนที่สร้างเวรสร้างกรรมมามันแตกต่างกัน
แต่ถ้าเบื้องบนที่เขามีใจเป็นธรรม เขาตั้งโรงทาน เขามีจิตใจเป็นธรรม เขาไปช่วยเหลือพวกชาวดอย เขาไปช่วยเหลือพวกคนทุกข์คนจน เขาทำของเขาก็มี ไอ้คนที่เห็นแก่ตัวมันก็มี ไม่ใช่ว่าทุกคนมันจะดีไปทั้งหมดหรอก แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนมันจะเลวไปทั้งสิ้น แล้วก็ทำเป็นวิทยาศาสตร์ ก็มายุมาแหย่ มาแบ่งชนชั้น มาทำลายกัน แล้วเราก็ไปเชื่อแบบนั้น นี่เป็นวิทยาศาสตร์
แล้วพอเป็นวิทยาศาสตร์แล้วก็บอกว่า พวกที่ถือชาวพุทธ ชาวพุทธเป็นลัทธิยอมจำนน ให้เขาขูดรีด ยอมจำนนกับนายทุน แล้วให้นายทุนปอกลอก ไอ้นายทุนเลว นายทุนน้อย นายทุนใหญ่ นายทุนขูดรีดก็มี นายทุนที่เขาเป็นธรรมๆ เขาเสียสละของเขาก็มี สิ่งที่มันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ นี่พูดถึงว่าเรื่องโลกๆ ไง นี่พูดถึงเรื่องโลกๆ วิทยาศาสตร์เข้ามา ความเป็นวิทยาศาสตร์ต้องใช้สูตรทฤษฎีเสมอภาคๆ
อาหารในสำรับเดียวกันมันยังชอบไม่เหมือนกันเลย มันเสมอภาคตรงไหน ไอ้คนที่มันได้ ไอ้นายทุนมันก็ว่าเสมอภาค เพราะกูมือยาวกว่า กูต้องได้มากกว่า ไอ้คนทุกข์คนจนบอกไม่เสมอภาคเพราะว่ามือฉันเล็กกว่า มือฉันน้อยกว่า ฉันขาดแคลน มันเสมอภาค เสมอภาคตรงไหน
ต้องเสมอภาคๆ พอเสมอภาคขึ้นมาก็เอาทฤษฎีมาอ้าง พอทฤษฎีมาอ้างก็พูดตามทฤษฎีนั้น บรรลุธรรม เพราะพูดทฤษฎีเสมอภาคได้สุดยอด แต่ใจมันไม่เสมอภาค มันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันพิจารณาของมันไม่ได้ ถ้าเสมอภาค เสมอภาคอย่างไร
นี่ก็เหมือนกัน ไอ้ที่ว่าพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทโธๆ เราก็ปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัตินะ อานาปานสติ เด็กๆ มันไปฝึกหัดของมัน มันยังบอกเลย “เมื่อก่อนกลัว เดี๋ยวนี้หายกลัว เมื่อก่อนไม่เคยไปหน้าชั้นเลย เดี๋ยวนี้ออกไปพูดหน้าชั้นก็ได้” เพราะอะไร
เพราะจิตมันเข้ามาสู่สติของตน เข้ามาสู่จิตของตน มีหลักเกณฑ์ของตน แต่ถ้ามันส่งออก มันกลัวไปหมด นู่นเขาก็ดีกว่า นี้เขาก็แน่กว่า นู่นเขาก็ยอดกว่า ไอ้เราด้อยกว่าเขาทุกอย่างเลย ไอ้เราจะไม่มีอะไรเลย ในสมองมีแต่ขี้เลื่อย ออกไปยืนหน้าชั้นแล้วก็เท้าสั่นหมดเลย
แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา โอ้โฮ! เราเป็นหัวหน้าชั้นอีกต่างหาก ไอ้พวกนั้นลูกน้องเราทั้งนั้น พูดอะไรมันก็ฟังทั้งนั้นน่ะ ไปกลัวอะไร ออกไปถึงหน้าชั้นพูดอะไรก็ได้ เพราะเขาต้องการให้เราพูด
นี่ไง ถ้ามันหายใจ อานาปานสติ หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก เด็กๆ มันยังได้ประโยชน์เลย คนทุกคนทั่วไปเขามาฝึกหัดขึ้นมามันได้ประโยชน์หมด มันได้ประโยชน์ตรงไหน
มันได้ประโยชน์ต่อเมื่อคนคนหนึ่งมีสติสัมปชัญญะ กับคนคนหนึ่งเป็นวัวเป็นควายให้เขาจูงจมูกไปตามกระแส สังคมทั้งสังคมมีแต่จมูกให้เขาชักจูง แต่ถ้าเด็กมันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก จมูกมันเก็บไว้อย่างดีเลย มันไม่ให้ใครมาจูงจมูกมัน
นี่ไง ถ้ามันเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ตรงนี้ไง เป็นประโยชน์ที่คนที่หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก เราอยู่กับพุทธะ พุทธะคือหัวใจของเรา คนอื่นมันจะรู้ดีอะไรไปกว่าเรา คนอื่นมันจะรู้มากอะไรไปกว่าเรา นี่ไง สิ่งที่ว่าได้ไง ที่ว่าดีงามไง
แต่นี่ โอ้โฮ! จะภาวนาจะได้บรรลุธรรม...จมูกก็ให้เขาเกี่ยวแล้ว ลากไปเป็นพรวนเลย
สมัยเราเด็กๆ นะ แม่น้ำแม่กลองมันอุดมสมบูรณ์มาก เวลาเขาตกปลา เขาใช้ตอกร้อยปลา ตกเสร็จแล้วก็ร้อยไว้ ร้อยเป็นพวงเลย ผูกไว้ที่เอว เราเห็นประจำ นี่ไง เวลาเขาตกปลาไง พอเขาได้ปลาเขาก็ร้อยไว้ เอาตอกผูกไว้ที่เอว ร้อยเป็นพวงๆๆ เลย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาคำถามมันถามมาเพราะเหตุนี้ “ภาวนาแล้วจะบรรลุธรรม ภาวนาแล้วจะรู้อย่างนู้น รู้อย่างนี้”
รู้อะไร ภาวนาแล้วมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จบ ภาวนาแล้วมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เป็นคนโดยสมบูรณ์ ถ้าเป็นคนโดยสมบูรณ์มันก็จบไง
นี่ โอ้โฮ! แหม! “ภาวนาจะบรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรม”
บรรลุธรรมที่ไหน เอาอะไรมาบรรลุธรรม คิดไปเอง คิดไปเอง รู้ไปเอง นึกไปเอง พอนึกไปเอง แล้วมันเสียเวลา “อู๋ย! ปัญญามันเลอเลิศ ปัญญามันเกิด” สุดท้ายจะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ นี่มันไม่เป็นความจริงโดยสัจจะความจริง
เวลาเป็นความจริง เวลาหลวงปู่มั่นท่านสั่งหลวงตาไว้เลย เพราะหลวงตาตอนนั้นท่านอนาคามิมรรค ท่านกำลังพิจารณาอสุภะอย่างรุนแรง พอพิจารณาอสุภะอย่างรุนแรง กิเลสมันจะปลิ้นปล้อนอย่างรุนแรง มันจะพลิกมันจะแพลงขึ้นมา มันจะเอาไว้ในนั้นน่ะ
ฉะนั้น เวลาคนทำอย่างนั้น เพราะหลวงปู่มั่นท่านผ่านตรงนี้มาก่อน พอผ่านตรงนี้มาก่อน ที่ว่าเป็นน้ำป่า มหาสติ มหาปัญญา กิเลสจะรุนแรงมาก กิเลสมันจะพลิกแพลงมาก เวลามันทุกข์ มันทุกข์ยากตรงนี้
เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ เวลาปฏิบัติไม่เป็นมันทุกข์มันยากมาก ถ้าปฏิบัติเป็นแล้วมันจะสบายขึ้น มันจะดีขึ้น โอ้โฮ! ปฏิบัติไปข้างหน้ามันจะราบรื่น ท่านบอกว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะ ยิ่งปฏิบัติไป โอ้โฮ! มันยิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งปฏิบัติไปกิเลสมันยิ่งละเอียดขึ้น ยิ่งปฏิบัติไปนะ โอ้โฮ! มันปั่นหัว หัวปั่นเลย
จากเล็กๆ จากสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในกายก็เรื่องหนึ่ง ถ้ามันไปเห็นอุปาทาน มันยึดมั่นถือมั่นนะ เวลามันปล่อยวางก็อีกเรื่องหนึ่ง เวลามันไปเจออสุภะ ไปเจอกามราคะ นั่นน่ะกองทัพของกิเลสเลยล่ะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วเวลาไปเจออวิชชามันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โอ๋ย! มันมหัศจรรย์ขึ้นมาเลย
แต่เวลาปฏิบัติใหม่ๆ ทุกคนคิดอย่างนั้นเลยนะ ถ้ากูปฏิบัติไปได้แล้วนะ โอ้โฮ! มันจะไปได้รวดเร็ว มันจะไปได้เรียบง่าย มันจะทะลุทะลวงไปเลยนะ ปฏิบัติไปตายหมด
ท่านบอกใครก็คิดอย่างนั้น ท่านก็คิดอย่างนั้น แต่ถึงเวลาจริงๆ ขึ้นมาแล้วนะ ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเราก็ดูสิ เด็ก เราต่อสู้กับเด็กนี่เรื่องหนึ่ง ต่อสู้กับวัยรุ่นก็เรื่องหนึ่ง ไปต่อสู้กับวัยทำงาน คนระหว่างทำงาน ๓๐-๔๐ โอ้โฮ! กำลังจะเป็นเสี่ยเลยล่ะ แล้วสุดท้ายก็ไปต่อสู้กับคนสูงวัย ๗๐-๘๐ อวิชชา เจ้าวัฏจักรนั่นน่ะ นี่ประสบการณ์มันแตกต่างกัน เวลามันทำ มันทำไปแตกต่างกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง มันเป็นจริงเป็นจังแตกต่างกันไป ไอ้นี่เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันก็เป็นจริง
ไอ้นี่ อู้ฮู! ปัญญาเลอเลิศ วิปัสสนา อู๋ย! มีปัญญา มีมรรค โอ้โฮ! มันจะบรรลุธรรมอยู่พรุ่งนี้แล้ว ธรรมะนี่เฉียดไปเฉียดมา จับไปแล้วมันจะได้อยู่แล้ว...นี่มันเป็นความเห็นของโลกไง ดูละครทีวีเยอะ ทวิภพ ตุ๊กตาผี นาคี โอ้โฮ! ดูมาก เวลาปฏิบัติไปเป็นอย่างนั้นหมดเลย นี่ปัญหาสังคม ปัญหาทางโลกเขา
แต่ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติเป็นเรื่องความดีไหม เป็น แล้วความดีคืออะไร คือเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะ จมูกเก็บไว้ให้ดีเลย ไม่ให้ใครมาจูงจมูก ไม่ให้เป็นเหยื่อใครทั้งสิ้น
สำนักปฏิบัติ สำนักปฏิบัติไหน สำนักปฏิบัติดีเขาต้องดีโดยตัวอาจารย์ของเขา ถ้าอาจารย์เขาดีแล้วเขาไม่มาหลอกมาล่อหรอก ไม่มีใครหลอกล่อใคร เผยแผ่ธรรมๆ เผยแผ่อะไร เอาธรรมะอะไรมาเผยแผ่ เอ็งมีความรู้อะไร รู้จักสมาธิหรือเปล่า เวลาปัญญา ไอ้นั่นมันสัญญาทั้งนั้นที่พูดออกมาน่ะ
ในโลกนี้ไม่มีใครมีปัญญาเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ที่ปากเปียกปากแฉะ ในอภิธรรมปิฎก ในพระไตรปิฎกทั้งหมดเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นน่ะ ที่พูดๆ กันอยู่นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น แล้วเวลาพูดนะ “จะปฏิรูปศาสนา จะฟื้นฟูศาสนา”...เอาอะไรไปฟื้นฟู
ฟื้นฟูศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม นั่นน่ะสุดยอดของศาสนา ใครจะฟื้นฟู ปัญญาอย่างพวกมึงหางอึ่งนี่หรือฟื้นฟู มึงจะเอาไปเป็นสินค้า มึงจะเอาไปหาผลประโยชน์ มึงจะเอาไปให้คนนับหน้าถือตามึง มึงจะต้องการให้คนหันมามองมึงต่างหาก ฟื้นฟูอะไร ฟื้นฟูก็ฟื้นฟูในใจพระพุทธเจ้านู่น อันนั้นน่ะสูงสุด
เราฟังแล้วบางทีมันแบบว่าสะอิดสะเอียนน่ะ “จะฟื้นฟูศาสนา จะปฏิรูปศาสนา”
เฮ้ย! มึงมีความรู้เหนือพระพุทธเจ้าหรือ มึงมีความรู้เท่าพระพุทธเจ้าหรือ ในโลกนี้มีใครมีความรู้เท่าพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่มันของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
นี่ไง แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา ไอ้พวกเฉียดๆ ศรีธัญญา ไอ้พวกที่เฉียดๆ โรงพยาบาล ความคิดมันจะเพริศแพร้ว มันจะแพรวพราว ความรู้ความเห็น โอ้โฮ! ไอ้พวกนี้ธรรมะละเอียดมาก ใกล้ๆ พวกใกล้ๆ โรงพยาบาลศรีธัญญา ไอ้พวกปัญญาๆ นั่นน่ะ
เราเห็นสังคมมามาก ที่เรายืนยันปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเรายืนยันในการประพฤติปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะเราเห็นไง เมื่อก่อนเวลาจะพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สัทธาจริต ทางภาคอีสานสมัยเราไปอยู่ใหม่ๆ เป็นสัทธาจริต เป็นความเชื่อมั่น เขาทำสิ่งใดแล้วเขาได้มรรคได้ผลไง
แล้วพอเราขึ้นไปในทางอีสาน เวลาไปอยู่ที่ไหนนะ ไอ้ไทยกรุงเทพฯ เรานี่โดนเยอะ ถ้าบ้านตาดไม่มี เพราะบ้านตาดเป็นพระภาคกลางมาก แต่ไปตามชนบท ไอ้ไทยกรุงเทพฯ ไอ้พวกไทยกรุงเทพฯ ไทยภาคกลาง ไอ้พวกหัวดื้อ พวกปัญญาชน ไอ้พวกนี้พวกชนดะ แต่ถ้าเป็นสัทธาจริตเขาจะไม่มีอย่างนี้ เขาจะมีความเคารพนบนอบ เขาจะไม่มีการโต้แย้ง เขาจะเชื่อ ภาษาเราว่าเชื่อตามๆ กันมา เชื่อโดยประเพณีวัฒนธรรม แล้วเขาทำของเขา
แต่นี้พอเวลาเราขึ้นไปนะ แล้วเราก็ไปปฏิบัติเหมือนกัน แล้วเราก็พุทโธเหมือนกัน สุดท้ายแล้วเรามาได้หลักปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเรามาเจอปัญญาอบรมสมาธิของหลวงตาด้วย มันเข้ากันได้พอดี แล้วเป็นสัจจะความจริง เราถึงพยายามบอกว่าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันไม่มีปัญญาอบรมสมาธิ มันจะมาเคลียร์ปัญหาของปัญญาชนที่ว่าใช้ปัญญาเยอะๆ เยอะๆ ไม่ได้
เวลาพระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญาใช่ไหม มันก็บอกมันมีปัญญาไปหมดแหละ ทุกคนก็จินตนาการเป็นไอ้พวกเฉียดๆ ศรีธัญญา ใกล้ๆ เข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา เวลาปัญญามันเกิด มันบอกว่า นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเพราะอะไร เพราะมันใช้ศัพท์พระพุทธศาสนา มันเป็นขันธ์ มันเป็นรูป มันเป็นอริยสัจไง มันไปใช้ศัพท์ในพระพุทธศาสนา แต่ความเห็นมันใกล้ๆ เข้าโรงพยาบาล
เราก็เลยจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาต้องมีสติ พอมีสติขึ้นมา มีสติขึ้นมาเพื่อเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ เราพยายามยืนยัน ยืนยันตรงไหน
นี่ไง เราเพิ่งด่านะ ว่าไอ้พวกที่ว่าจะมาฟื้นฟูศาสนา ไอ้พวกนี้มึงกล้าเหยียบย่ำพระพุทธเจ้าเชียวหรือ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ไอ้ที่พูดๆ มันเป็นแขนงหนึ่งไง เป็นแขนงหนึ่งของการใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาที่มึงว่าเป็นพระพุทธศาสนา เป็นภาวนามยปัญญา เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะ เป็นที่ว่าจะบรรลุธรรมนั่นน่ะ สูงสุดของมันถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ แค่นั้นน่ะ
ไอ้ที่เราพูด เราพูดให้เป็นแนวทางแนวทางหนึ่งของนักปฏิบัติ มีแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ให้มันไปสุ่ม ไปจินตนาการว่านี่เป็นภาวนามยปัญญา ไอ้นี่เป็นปัญญาพระพุทธศาสนา หลวงพ่อรับประกันๆ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่ากูต้องไปรับประกันศาสนา ต้องตั้งบริษัทประกันภัย สงบประกันภัย รับประกันภัยในผู้ที่ปฏิบัติ เป็นสงบประกันภัย
เราอยู่ในวงการปฏิบัติ เราเห็นความสุ่มเสี่ยง ความเลวร้ายมามาก ความหาผลประโยชน์กัน ครอบครัวไหนที่มีลูกหลานที่เสียสติ ครอบครัวไหนที่ลูกหลานส่งเสียไปเรียนมหาวิทยาลัย แล้วไปบวชไปปฏิบัติกันจนหลุดจนอะไร ครอบครัวที่ระส่ำระสาย กู้หนี้ยืมสินส่งลูกๆ หลานๆ เรียนหนังสือ เรียนแล้วก็มาฝึกหัดในชมรมพุทธต่างๆ มีปัญหามามาก เราเห็นมามาก เราถึงพยายามจะพูดเป็นหลัก พยายามจะพูดให้คนมีจุดยืน แต่ไม่ใช่พูดให้คนเอาไปเป็นประโยชน์ต่อเนื่อง เอาไปเป็นสินค้าต่อเนื่อง เพราะเราพูด เราพูดเพื่อไม่ต้องการให้ใครเอาไปใช้ต่อเนื่อง แต่พูดให้คนกลับมาเป็นมนุษย์
นี่ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติๆ ในการปฏิบัติเราเห็นด้วย ชื่นชมมาก เด็กๆ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ยุวพุทธ อานาปานสติ “มาครั้งที่เท่าไร” “ครั้งที่หนึ่ง” “โอ๋ย! ดีมากเลย ดีมากเลย” โอ้โฮ! เห็นแล้วชื่นใจมาก ชื่นใจมากเพราะเด็กมันไร้เดียงสา เด็กมันไม่บอกมันบรรลุธรรม แล้วมันก็ไม่บอกด้วยว่ามันจะไปเผยแผ่ศาสนา แล้วมันก็ไม่ได้บอกด้วยว่ามันจะไปตั้งสำนักปฏิบัติ เพราะมันยังเป็นเด็ก มันยังเป็นเด็ก ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ มันเป็นเด็กขึ้นมา เขาให้มันปฏิบัติเพื่อให้มันมา ให้มันเป็นตัวมันเอง ให้มันไม่ตื่นเต้น ให้มันมีการศึกษา มันไม่บอกเลยว่ากำลังจะบรรลุธรรมเลย เดี๋ยวจะตั้งสำนักปฏิบัติแล้ว อายุ ๕ ขวบ ไอ้ ๕๐-๖๐ ขวบเดี๋ยวต้องมาให้หนูสอนนะ หนูจะสอนให้บรรลุธรรม
เราชื่นชมเขามาก เราชื่นชมเด็กๆ มาก เราถึงบอกว่าในการปฏิบัติมันมีผลอย่างนั้นน่ะ มันมีผลจริงๆ เด็กไร้เดียงสาที่มันไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มันทำตามสัจจะความจริง มันทำจากที่มันเป็นคนขี้กลัว มันเป็นคนที่ตระหนก มันเป็นคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง มันกลับมาเป็นตัวของตัวมันเอง มันมั่นคง “สงบมาก ดีมาก จะเรียนหนังสือให้ดีขึ้น ต่อไปนี้จะเป็นคนดี ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน”
เราฟังนะ เราฟังพวกนี้พูด อืม! ศาสนาเรามันมีคุณค่ามาก มีคุณค่าเพราะเด็กมันไร้เดียงสา มันไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มันทำสิ่งใดมันทำความเป็นจริง ไอ้เรานักปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ จะบรรลุธรรมแล้ว สงบประกันภัยกำลังจะรับประกันด้วย สงบประกันภัย มีตีตรารับประกัน บรรลุธรรม นี่ผู้ใหญ่
ทั้งๆ ที่ศาสนามันดีงาม ศาสนาเป็นสิ่งที่ชอบธรรม แล้วมันเป็นประโยชน์มาก แต่คนเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ แล้วบางคนเอาไปเพื่อผลประโยชน์ เอาไปเพื่อชื่อเสียง เอาไปเพื่อหาผลประโยชน์นะ เราถึงไม่เห็นด้วย
แล้วนี่เหมือนกัน คำถามๆ ถามแล้วถามเล่าๆ ก็นี่ไง ก็ปัญญาๆ นี่ไง อู๋ย! บรรลุธรรมๆ แล้วบอกฟังเทปอย่างนู้น ถามปัญหาที่ไร้สาระ มันไร้สาระ แล้วเวลาถึงจริงๆ ขึ้นมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้
เป็นไปได้นะ วิทยาศาสตร์กับธรรมะ ธรรมะเหนือวิทยาศาสตร์ เหนือโลก เราพูดทุกวันเลย วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ วิทยาศาสตร์แก้ปัญหาของโลกได้ แก้ปัญหาการดำรงชีพได้ แต่แก้กิเลสในใจไม่ได้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากที่จะบรรลุธรรม จะแก้ไขกิเลสได้
นี่ก็เหมือนกัน แล้วถ้าบอกว่า “อู้ฮู! นั่งแล้วมันเป็นสมาธิ อู้ฮู! นั่งได้ทั้งคืนเลย”...เยอะแยะไปนั่งหลับ
ถ้ามันนั่งความเป็นจริงมันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันต้องมีกำลัง ถ้าจิตสงบแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิ ถ้าสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่เป็นจริง ถ้ามันมีกำลังขึ้นมาแล้ว ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ มันทะลุปรุโปร่งเลย
แต่ที่มันยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้เพราะสมาธิมันไม่มี ถ้ามันไม่มี ไม่มีเพราะอะไร ไม่มี “ก็นั่งทั้งคืนแล้ว นั่งทั้งเดือนแล้ว ภาวนามา ๗ ปีแล้ว”
๗ ปีนั้นมันไม่เข้าสู่สมาธิทั้งสิ้น ๗ ปีแล้วมันไม่มีกำลังเป็นหลัก ๗ ปีแล้วมันก็คร่อมตออยู่นั่น ๗ ปีแล้วมันเป็นภวังค์ทั้งสิ้น แล้วมากมายไอ้ที่ว่านั่งตลอดรุ่งๆ เขาบอกเขานั่งตลอดรุ่งเลย ให้ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้
เราอยู่ข้างใน เราให้โยมไปนั่ง บอกอ้าว! พิสูจน์ นั่งอยู่ กรนคร่อกๆๆ เขานั่งหลับทั้งคืนน่ะ แต่เขาสำคัญว่าเขานั่งตลอดรุ่ง
ถ้านั่งตลอดรุ่ง อู้ฮู! จิตมันจะสว่างไสวขนาดไหน จิตมันจะมีกำลังขนาดไหน
นี่กูก็นั่งเหมือนกัน ตลอดรุ่งเหมือนกัน แต่นั่งหลับ จิตมันตกภวังค์มันหลับไป แล้วมันทำอะไรไม่ได้
แล้วก็ยกเข้ามาคำถาม คำถามนี้ก็เหมือนกัน “ผมกรนครับ ผมนั่งจนผมรู้ว่าผมกรน”
มึงนั่งหลับอยู่ตลอดเวลา แล้วปัญญามึงก็บ้าบอคอแตกกันไป แล้วก็ยังจะเขียนมาถามๆ มาถามเรื่องอะไร นี่ให้หลวงพ่อวิจารณ์ไง เพราะสังคมมันเป็นแบบนั้นไง “จะบรรลุธรรม”
เป้าหมายจริงๆ มันก็อย่างนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสอน เทวดา อินทร์ พรหมเป็นพระอรหันต์ไปเยอะแยะไปหมด จะเป็นพระอรหันต์ไปได้เพราะเขามีสติปัญญาของเขา มันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นทิฏฐิที่ถูกต้องดีงามที่ตามความเป็นจริง แต่นี่เราไปจำมา พอจำมาเป็นวิธีการ แล้วก็จะทำนั่งตลอดรุ่งอย่างนี้
หลวงตาท่านนั่งตลอดรุ่งนะ นั่งตลอดรุ่งท่านนั่งแบบมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ต่อสู้กับเวทนา ท่านบอก ๒-๓ ชั่วโมง ลูกหลานมันมา เจ็บปวดมาก ๔-๕ ชั่วโมง พ่อแม่มันมา ๑๐ ชั่วโมง ปู่ย่ามันมา ความทุกข์ของท่านนะ เปรียบเหมือนเอาไม้ เอาขอนไม้สุมตัวท่านแล้วจุดไฟเผาขึ้น เหมือนกับคนนั่งโดนเผาตายทั้งเป็นน่ะ
คนเรานะ เวลาเอาไม้พาดสุมกองเราแล้วจุดไฟขึ้น มันจะทุกข์ร้อนขนาดไหน นี่ท่านเปรียบเทียบถึงเวลาที่ท่านเผชิญกับเวทนาของท่าน เวลานั่งตลอดรุ่งของท่าน เพราท่านนั่งโดยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ รู้เห็นทุกแง่ทุกมุมของความรู้สึกนึกคิด
แต่นี่พอนั่งนะ คร่อกๆ มึงไปรู้อะไร พอไม่รู้อะไรมันก็ไม่มีอะไร แต่นี่เขาถามไง ไม่มีอะไร แต่ก็เขียนมาถามนะ จนวันนี้ก็เขียนมานะ “ไม่ต้องสงสัยแล้วครับหลวงพ่อ ผมนั่งกรน ผมจับได้แล้ว”
โอ้โฮ! เหนื่อย ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงมันเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ไง สูตรทฤษฎีมันต้องเป็นความจริงไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสองไง ถ้าเอ็งนั่งเป็นสมาธิได้ เอ็งต้องมีกำลังไง ถ้าเอ็งนั่งสมาธิได้ มีกำลังได้ ถ้าเอ็งยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ปัญญาที่เกิดบนสัมมาสมาธิมันจะเป็นมรรคไง ถ้าเป็นมรรคมันจะชำระล้างกิเลสไง ถ้ามันเป็นความจริงเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปไง มันก็จะเป็นประโยชน์ไง นี่พูดถึงว่าเวลาจะปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าเป็นจริงอย่างนั้นมันถึงมีคุณค่า
นี่เข้าใจไปเอง เข้าใจผิด เข้าใจว่าศึกษาธรรมะมา เข้าใจว่าการปฏิบัติไปแล้วจะเป็นนาคี จะแปลงตัวเป็นพญานาค โอ้โฮ! จะเป็นตุ๊กตาผี มันไปดูหนังไว้เยอะ แล้วเวลาพิจารณาแล้วมันส่งออกหมด
แต่เวลาเป็นมรรคมันเป็นอย่างนั้นน่ะ กำลังต่างๆ นั้นมันเกิดจากจิตทั้งสิ้น จะหมอดูหมอเดา จะหมอสมุนไพร เขาต้องทำความสงบทั้งสิ้นเพื่อให้จิตมันมีกำลัง คนที่จิตมีกำลัง แม้แต่ผู้ทำงานทางโลก ถ้ามีสมาธิทำงานก็ได้ชัดเจน ทำงานแล้วไม่เครียด ทำงานแล้วงานจะเสร็จสมบูรณ์ ผู้ที่ทำงานแล้วตึงเครียดต่างๆ เขาก็มาพักโดยการทำสมาธิ สมาธินะ ใช้ได้ทุกที่ทุกสถาน เป็นประโยชน์ไปทั้งสิ้น
แต่นี้มันอ้างสมาธิ อ้างสมาธิ ว่ามีสมาธิแล้วจะทำอะไรก็ได้ จะบรรลุธรรมก็ได้ คนมีสมาธิเขาไม่อ้างสมาธิ ไอ้คนไม่มีสมาธิมันอ้าง อ้างว่า “สมาธิต่ำต้อย สมาธิไม่มีความหมาย ต้องปัญญาไปเลย”
ปัญญาไปเลยก็ตุ๊กตาผีไง ทวิภพไง ไสยศาสตร์ทั้งนั้น ไสยศาสตร์เพราะมันเกิดจากจิต เกิดจากกิเลส เกิดจากตัณหา เกิดจากหัวใจที่ไม่มีกำลัง เกิดจากวาสนาคนที่อ่อนแอ
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธไง นี่เขาบอกเข้านึกพุทโธๆ
จะพุทโธอย่างไรก็แล้วแต่ มันอยู่ที่วาสนาของคน บัว ๔ เหล่า ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะได้ทุกคน
ไอ้นี่ทำก็ได้แต่ทฤษฎี แล้วก็เอาทฤษฎีมาอ้าง ทำมาครึ่งวันค่อนวัน ปฏิบัติมาทั้งวันเลย โอ๋ย! นั่งตลอดรุ่ง จับเชือกผูกไว้ติดเตียง มันนอน ๒๔ ชั่วโมงเป็นสิบๆ ปี ไอ้พวกนอนติดเตียงดีกว่ามึงอีก เอ็งยังไปเที่ยวรอบโลก เขานอนติดเตียง ๑๐ ปี บางคนนอนติดเตียงตั้งแต่เกิดจนตาย นอนอยู่นั่นไง
เหมือนกัน มันต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องดีงาม การปฏิบัติ ปฏิบัติด้วยความถูกต้องดีงาม ไอ้นี่เวลาเราพูด เวลาพูดมันแบบว่ามันเบื่อหน่าย ไอ้เวลาคนที่ดูถูกเหยียดหยาม ที่เราออกมามีจุดยืนเพื่ออะไร เพื่อให้ผู้ที่ปฏิบัติไม่ต้องอายสังคม ปฏิบัติแล้วไม่ให้ใครมาตราหน้า
แต่เวลาแม่งพอมาปฏิบัติแล้วก็จะมาอ้าง นั่งสองที “บรรลุธรรมๆ”...ธรรมอะไรวะ ต้องสงบประกันภัยรับประกันด้วยหรือเปล่า ถ้าสงบประกันภัยมันรับประกัน เดี๋ยวโดนคนย้อนศร
จบแล้วล่ะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สมาธิคือสมาธิ ปฏิบัติเพื่อความเป็นมนุษย์ ปฏิบัติไปด้วยให้จิตปกติสมบูรณ์ ถ้ามีวาสนา จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ อันนั้นมันจะเป็นหลักการของพระพุทธศาสนา แล้วก็จะเป็นหลักการของเรา
หลักการของพระพุทธศาสนา หลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราเป็นผู้ข้อง เราเป็นสัตตะผู้ข้อง เราเป็นผู้ที่มีกิเลส แล้วถ้าปฏิบัติแล้วมันได้มรรคได้ผลตามความเป็นจริงนั้นก็สาธุ ถ้ามันได้ตามความเป็นจริง
ไม่ใช่ปฏิบัติสำมะเลเทเมา เอาแต่วิธีการ เอาเวลามาอ้างอิงว่าฉันได้ปฏิบัติมา ๗ ปี ๑๐ ปี ป่วยติดเตียงมา ติดเตียง ๒๐ ปีก็มี คนติดคุกตลอดชีวิตก็เยอะแยะ เขาติดคุก เขาอยู่ในคุกด้วย เขาไม่ได้ออกมาจุ้นจ้าน เขาบรรลุธรรมกับมึงไหมล่ะ
ฉะนั้น เวลาเอาจริงเอาจัง ให้เป็นจริงเป็นจังสิ อย่าวุ่นวาย วุ่นวายมาก ทั้งๆ ที่สำนักปฏิบัติที่ปฏิบัติเขาปฏิบัติเพื่อความสงบ ไม่ใช่เพื่อความวุ่นวาย
เวลาคนเขาเข้าไปในสำนักปฏิบัติ สัปปายะไง สถานที่เป็นสัปปายะ มันสงบมันสงัด มันไม่วุ่นไม่วาย ไม่มีปัญหาเดือดร้อน ถ้ามันวุ่นมันวาย มันมีปัญหาเดือดร้อน แสดงว่าข้างในนั้นมีปัญหาแน่นอน
แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง มันจะเป็นสัปปายะ มันจะไม่วุ่นวาย ต่างคนต่างเข้าสู่ที่ความสงบสงัด ต่างคนต่างขวนขวาย ต่างคนต่างกระทำ มันจะเป็นประโยชน์ นั่นจะเป็นที่ปฏิบัติแท้ เป็นสัปปายะที่ดีงาม แล้วสถานที่วิเวก กายวิเวก จิตวิเวก ให้มันวิเวกจากความเป็นจริง ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา
เราเห็นนะ ไอ้เด็กไร้เดียงสา ๔-๕ ขวบที่มันให้สัมภาษณ์นั่นน่ะ โอ้โฮ! ชื่นชมนะ เด็กๆ มันไร้เดียงสา ไม่มีมารยาสาไถย “เมื่อก่อนเคยกลัว ขี้ตกใจกลัวมาก เดี๋ยวนี้ดีขึ้น” บางคนหายเลย เดี๋ยวนี้พยายามจะหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ รู้จักตัวเอง รู้จักจิตของตน ไม่เดือดร้อน
นี่เด็ก ๔-๕ ขวบไร้เดียงสาเขายังได้ประโยชน์กับอานาปานสติ เราอายุเท่าไร เราปฏิบัติเพื่ออะไร แก่จนจะตายกันอยู่แล้ว ปฏิบัติสู้เด็ก ๔-๕ ขวบที่ว่าอานาปานสติไม่ได้เชียวหรือ พวกเรามันมีแต่มารยามาก กิเลสหนา แล้วทำอะไรไม่ได้ประโยชน์ แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้วเข้าใจผิด เข้าใจว่า เข้าใจไปเองโดยกิเลสหมด แล้วก็บอกว่าบรรลุธรรมโดยบริษัทสงบประกันภัย เอวัง